วันเสาร์, มกราคม 29

10 วิธี "ตื่น" ได้ทุกวัน



หากความหมายของการ "ตื่น" คือ การมีสติ การรู้ตัว และไม่เผลอหลงไปกับพฤติกรรมหรือความคิดที่เราเคยชิน การเจริญสติในชีวิตประจำวันย่อมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติ แต่การ ‘ตื่น' ในชีวิตประจำวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก ... แต่ก็ไม่ได้ยากลำบากจนเกินไปเช่นกัน
จากการพูดคุยกับพี่น้องผู้ปฏิบัติหลายท่าน เราได้รับฟังประสบการณ์ที่แต่ละคนแลกเปลี่ยนว่า มีวิธีการปฏิบัติส่วนตัวในชีวิตประจำวันกันอย่างไรบ้าง เราจึงอดไม่ได้ที่จะนำเสนอกุศโลบายที่แยบคาย และน่าสนุกยิ่งสำหรับนักปฏิบัติในคอลัมน์ครั้งนี้

1. ระฆังแห่งสติในคอมพิวเตอร์ เหมาะมากสำหรับผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงระฆังจากโปรแกรม (เราสามารถตั้งไว้ได้ว่าจะให้ดังทุก 15 นาที หรือ ทุกชั่วโมง ที่กังวานใส เราก็เพียงหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ รวมถึงหยุดคิดด้วย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจแห่งสติสัก 3 ลมหายใจ แล้วจึงค่อยทำงานต่อ ส่วนใครจะหายใจไปด้วย ยิ้มไปด้วย ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

2. ระฆังแห่งสติในชีวิตประจำวัน
สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็สามารถเจริญสติได้ โดยการหาอะไรสักอย่างที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันมาเป็น"ระฆังแห่งสติ" ให้กับตนเอง บางคนใช้เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ตามลมหายใจก่อนรับโทรศัพท์ มีพี่หมอท่านหนึ่งได้แลกเปลี่ยนว่า เพราะการเป็นหมอดมยาในห้องผ่าตัด (วิสัญญีแพทย์) พี่หมอจึงใช้เสียงของเครื่องปั๊มอากาศในห้องผ่าตัดแทนระฆัง เมื่อได้ยินเสียงเครื่องปั๊มอากาศพี่หมอก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ แล้วชวนให้ผู้ป่วยกลับมาอยู่กับลมหายใจพร้อมกัน พี่หมอบอกว่านอกจากตัวเองแล้ว ยังสังเกตได้ว่าผู้ป่วยที่เคยกังวล ค่อยๆ หลับไปด้วยความผ่อนคลายยิ่งขึ้นด้วย งานนี้เรียกว่าหนึ่งได้สองกันเลยเชียว

3. ทางเดินแห่งสติ
เราอาจเลือกเส้นทางหนึ่งที่เราต้องเดินในทุกวันให้เป็นทางเดินแห่งสติของเราเอง อาจเป็นทางเดินที่ไม่ไกลนัก เช่น จากที่จอดรถไปห้องทำงาน หรือจากตึกหนึ่งไปสู่อีกตึกหนึ่งหรือบันไดระหว่างชั้นที่เรามักต้องขึ้นลงบ่อยๆ ขอให้เราตั้งใจเอาไว้ว่า ในเส้นทางนี้เราจะเดินอย่างมีสติในทุกย่างก้าว ให้เป็นเส้นทางที่เดินแล้วเราได้ผ่อนคลาย เป็นการเดินที่สร้างรอยยิ้มให้กับเราก็เพียงพอแล้ว

4. ไฟแดงคือหยุดอย่างแท้จริง
น้องคนหนึ่งแลกเปลี่ยนว่า แทนที่จะปล่อยความหงุดหงิดไปกับรถติดบนท้องถนน เธอเลือกที่จะใช้ไฟแดงนั้นเป็นอุปกรณ์ทำให้เธอได้กลับมาอยู่กับลมหายใจ และยิ้มให้กับไฟแดงซะเลย ยิ่งติดไฟแดงบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสกลับมาอยู่กับลมหายใจเท่านั้น เธอบอกไว้พร้อมรอยยิ้ม

5. จักรวาลในจานข้าว
บางคนจะที่ชอบทานก็สามารถยึดเอาเป็นสรณะได้เช่นกัน เพราะยิ่งทานก็ยิ่งมีโอกาสได้พิจารณาอาหารได้มากครั้งเท่านั้น เราได้มีโอกาสฝึกมองอย่างลึกซึ้งว่าอาหารหรือขนมที่อยู่ตรงหน้านั้นมาจากไหนบ้าง มีผู้คนที่ทำงานหนักด้วยความรักความเอาใจใส่อยู่มากมายเพียงใดในอาหารจานนี้ ที่สำคัญเรากำลังจะทานด้วยความรู้สึกอย่างไร เพียงเท่านี้เวลาในการทานอาหารก็กลายเป็นเวลาอันประเสริฐแห่งการปฏิบัติแล้ว

6. เพลงพาใจเบิกบาน
หมู่บ้านพลัมมีบทเพลงที่เชื้อเชิญให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ กับปัจจุบันขณะ กับตัวเราเอง กับความเบิกบาน มากมาย เวลาที่ขุ่นมัวเราอาจจะฮัมเพลงเหล่านั้นขึ้นมาเบาๆ ซึ่งแม้เพียงแผ่วเบา ดอกไม้ก็สามารถบานขึ้นในใจได้เช่นกัน หรือใครจำเพลงของหมู่บ้านพลัมไม่ได้ อาจเลือกเพลงที่มีความหมายดีๆ ที่ชอบเป็นการส่วนตัวแทนก็ได้ ไม่ว่ากัน

7. ปฏิบัติกับสังฆะ
การดำรงสติในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่การปฏิบัติร่วมกันเป็นหมู่คณะช่วยให้การปฏิบัติง่ายขึ้นได้ เวลาเรายิ้มไม่ค่อยออก พี่น้องข้างหน้าจะส่งยิ้มให้เรายิ้มตอบ เวลาเราไม่ค่อยมีสติ พี่น้องข้างขวาจะปฏิบัติอย่างมีสติให้เราเห็น เวลาเราหลงลืมการปฏิบัติ พี่น้องข้างซ้ายจะปฏิบัติอย่างถูกต้องให้เราได้ทำตาม เวลาเราหมดกำลังใจ พี่น้องข้างหลังจะส่งพลังแห่งสติและความเบิกบานมาเกื้อกูล "สังฆะอยู่รอบตัวเราเพื่อเกื้อกูลกันและกัน ถ้าเป็นไปได้ควรปฏิบัติร่วมกันเป็นสังฆะดีกว่าปฏิบัติเพียงลำพังคนเดียว" หลวงปู่กล่าวเอาไว้เช่นนั้น

8. ยิ้มช่วยท่านได้
เพื่อนนักปฏิบัติคนหนึ่งที่แม้จะไม่รู้จักหลวงพี่นิรามิสาเป็นการส่วนตัว แต่เพราะชอบรอยยิ้มอันเบิกบานของหลวงพี่ จึงตัดเอารูปของหลวงพี่จากนิตยสารฉบับหนึ่งเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ เมื่อหงุดหงิดหรือมีความโกรธขึ้นมา พี่คนนี้ก็จะเปิดลิ้นชักออกมาและพบกับรอยยิ้มของหลวงพี่ ในทันใดก็สามารถสัมผัสถึงรอยยิ้มของหลวงพี่และสามารถยิ้มกลับไปได้ เมื่อรอยยิ้มเกิด ความโกรธก็จากลาไปในขณะเดียวกัน : )

9. หลวงปู่ช่วยท่านได้
พี่คนหนึ่ง (อักษรย่อ ต.) เป็นคนชอบดื่มเหล้า เมื่อปฏิบัติก็รับศีลและตั้งใจว่าจะลดการดื่มลง เมื่อกลับไปที่บ้าน พี่ต. นำใบรับศีลที่ได้วางไว้หน้าขวดเหล้าในตู้เพื่อเป็นระฆังสติ เตือนใจยามที่เพื่อนมาที่บ้านแล้วจะสังสรรค์กัน เท่านั้นไม่พอ พี่ต. ยังนำรูปหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ วางไว้หลังใบรับศีล เผื่อว่าวันไหนอดใจไม่ไหว หยิบใบรับศีลออกก็จะยังได้เจอกับหลวงปู่อีกเป็นปราการด่านสุดท้าย และขอรายงานว่า จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ขวดสุราของ พี่ต. ยังไม่พร่องไปเลยสักนิด เพราะการปฏิบัติเช่นนี้นี่เอง

10. ...............
สำหรับข้อนี้ขอเว้นว่างเอาไว้ให้คุณผู้อ่านได้เติมวิธีปฏิบัติของตัวเองว่ามีวิธีการ "ตื่น" อย่างไรบ้าง ...

เข็มทิศชีวิต : ศิลปะแห่งการเริ่มต้นใหม่

ในชีวิตคนแต่ละคน จะมีความขุ่นข้องหมองใจ ที่เรารู้สึกกับผู้คนรอบตัว ตั้งแต่คนใกล้ตัว พ่อแม่ สามี ภรรยา ลูก เพื่อน เพื่อนร่วมงาน พนักงาน คนทำงานบ้าน ไปจนถึงคู่แข่ง ศัตรู นักการเมือง ฯลฯ
อารมณ์ความรู้สึกที่มีขึ้น ถ้าเราเก็บกักมันไว้ในใจ มันจะเป็นเหมือนน้ำที่ถ่ายเทไม่ได้กลายเป็นน้ำเน่าเสีย
ถ้าเราไม่รู้ทันตัวเอง เราจะเผลอสร้างน้ำเน่า สร้างขยะในหัวใจ แล้วปล่อยมันออกมา มากบ้าง น้อยบ้าง ให้กับคนที่ได้มาสัมผัสกับเรา
เพียงเราหยุดคิดสักนิด เราจะพบว่าคนใกล้ตัวที่เรารักหรือรักเรา เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่สมเหตุสมผลเลย ที่เราจะขุ่นข้องโกรธเคืองเก็บความรู้สึกไว้ให้หมองใจ
แม้คนที่เจตนาไม่ดี คิดทำร้ายเรา อยากให้ชีวิตเราไม่ดี ไม่มีความสุข ยิ่งเราเจ็บแค้นโกรธเคือง ก็เหมือนมีไฟเผาลนไหม้ใจเราเอง ทำให้ตัวเราไม่มีความสุข ด้วยความคิดเจ็บแค้นเพ่งโทษของเราเอง เราเองที่ไปช่วยเขา ด้วยการทำให้ตัวเองไม่มีความสุข สมดังใจเขา รู้อย่างนี้เราก็ไม่มีเหตุที่จะไปช่วยให้งานเขาสำเร็จ
สรุปคือไม่มีเหตุที่จะโกรธ แค้น ขุ่นข้อง ทั้งกับคนที่ไม่เจตนาและเจตนา จะทำร้ายเรา ไม่ใช่เพื่อเขา แต่เพื่อความสุขความเจริญก้าวหน้าของตัวเราเอง
ลองค่อยๆ สังเกตตัวเองดู คนอื่นสร้างสถานการณ์แวดล้อมได้ แต่ชีวิตเราจะสามารถลดระดับลงจริงๆ ก็ตอนที่เรายอมให้มันเป็น ด้วยจิตใจที่เจ็บปวด โกรธ แค้น
ถ้าเราสามารถรักษาสภาพจิตใจ ให้มีความสุข มั่นคง แม้หวั่นไหวก็เพียงแค่ขณะสั้นๆ แล้วรีบรู้ทันตั้งหลักให้จิตใจ ด้วยเป้าหมายหลักที่จะทำให้ชีวิตตัวเองมีความสุขดีงาม ชีวิตกลับจะยิ่งเจริญ งดงาม พัฒนาก้าวหน้าขึ้น ทุกๆ ด้านในทุกๆ วัน
จิตใจที่มีสุข สงบ ร่มเย็น แม้ในยามที่ถูกบีบคั้น จะสามารถมองเห็นสิ่งดีงามในชีวิต เห็นความรัก ความสุข ความอบอุ่น โชคดีที่อยู่รอบตัว เห็นโอกาส ช่องทาง ความเป็นไปได้ที่ดีงามเปิดกว้างรอเราอยู่ตรงหน้าเสมอ
สิ่งดีงาม ความรัก ความอบอุ่น โอกาส เงินทอง ปูอยู่ทุกอณูบนพื้นโลก อยู่ที่ใครมีสายตา มีหัวใจมองเห็นมัน
เราเห็นสิ่งที่เรามองหา
เราได้รับสิ่งที่เราเป็นอย่างแท้จริงภายใน
หลายคนสงสัยว่าจะหยุดโกรธแค้น คนที่ทำไม่ดีกับเราได้อย่างไร แม้อยากหยุดเพราะรู้ว่ามันไม่ดีทำร้ายตัวเอง และชีวิต แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ตอนนี้ฝรั่งกำลังนิยม NPL (Neuro Linguistic Program) คือเทคนิคการใช้คำพูด กล่อมเกลาจิตใจ ซึ่งคนตะวันออกรู้จักมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล คือ 2500 กว่าปีที่แล้ว เรามีการแผ่เมตตาให้ทั้งกับตัวเองและคนอื่น สวดภาวนาคำที่เป็นมงคล พูดสิ่งที่ดีงาม
วิธีดูแลความโกรธ หรือแม้กระทั่งความโกรธที่ฝังลึกลงไปที่เรียกว่าความแค้น ก็คือ เมื่อความคิดถึงคนนั้น หรือเรื่องราวผุดขึ้นมา ให้เราสังเกตเห็นมัน ไม่พยายามผลักมันออกไป แล้วก็ไม่คิดเพิ่มเพราะเป็นการให้อาหารมัน แล้วใช้คำพูดช่วย เช่น ขอให้คุณมีความสุข ขอให้คุณได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ทำสิ่งที่ดีงามต่อชีวิตคุณอย่างแท้จริง ขอให้ฉันมีความสุข ขอให้จิตใจฉันสงบร่มเย็น ขอให้ชีวิตฉันดีขึ้นทุกๆ วัน ในทุกๆ ทาง ด้วยสติปัญญา หรือเลือกคำอะไรสั้นๆ ที่มีความหมายดีงาม ตามที่คุณรู้สึก
ถึงแม้ในตอนแรกๆ ใจมันอาจจะไม่อยากอวยพรให้เขาได้ดี ก็ให้ใช้คำพูดนำไปก่อนแล้วค่อยๆ น้อมใจไป วันละนิดๆ ใจจะค่อยๆ อ่อนโยนต่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ขอให้จำไว้เสมอว่า ความคิด การกระทำ คำพูด ที่ดีงาม ที่ส่งให้เขา ผลดีมันตกที่ตัวคุณเองก่อนเสมอ
ในทันทีที่คุณพูด คิด ปรารถนาดี คุณปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ อิสระจากกรงขังของความเจ็บแค้น ซึ่งมันไม่น่าสนุกเลยที่จะอยู่ในนั้น
เกิดอะไรขึ้น ก็เรียนรู้ว่าทำไมเราถึงไปอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น กับคนแบบนั้น ไม่สู้รบตอบโต้ ขัดเกลาตัวเอง แล้วเดินต่อไป สร้างชีวิตใหม่ที่ดีงาม
พลังงานที่เอาไปทำกิจกรรมด้านลบ แก่งแย่ง สู้รบ โจมตีกัน ไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น พลังงานเท่ากัน เอาไปใช้ด้านบวก สร้างชีวิตใหม่ ปล่อยขยะ ปล่อยของเน่าทิ้งไป เหมือนเดินผ่านพยับแดดที่เป็นภาพลวงตา สามารถหายวับไปจากใจได้ ทันที ทุกเวลา เหลือใจที่ใสๆ เบาๆ สบายชุ่มฉ่ำด้วยความรักความปรารถนาดี เอาไปสร้างชีวิตใหม่ให้ตัวเอง และคนที่เรารักได้ทุกวัน
ถามตัวเองเสมอว่า อยากมีชีวิตที่ดีงาม มีความสุข? ถ้าใช่ก็เลือกเดินบนเส้นทางนั้น ขัดเกลาตัวเองไม่ใช่เอาใจมุ่งไปขัดเกลาคนอื่น เมื่อใดก็ตามที่คุณมีความมุ่งร้าย อยากทำร้าย อยากเอาคืน อยากทำให้ชีวิตคนอื่นแย่ลง ด้วยการพูดร้าย คิดร้าย ทำร้าย ขอให้รู้ว่านั่นเกิดจากความไม่บริสุทธิ์ ความอ่อนแอภายในตัวคุณเอง และที่สำคัญคือคุณไม่แน่ใจว่าเขาไม่ดีจริง การที่เขาอาจจะเป็นคนดีมีชีวิตเจริญรุ่งเรือง คุณเลยพยายามยื่นมือเข้าไปช่วยทำลายชีวิตเขา
ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณมั่นใจรู้แน่แก่ใจ แม้คนอื่นจะไม่รู้ว่าเขาไม่ดีจริงๆ และใจคุณสะอาดมั่นคง คุณจะไม่ต้องไปทำอะไรเขาเลย เพราะคุณรู้ว่า คนที่ทำไม่ดี จะได้รับผลไม่ดีในที่สุด โดยที่มือคุณไม่ต้องเปื้อนเลือดเลย คุณยังต้องแอบเอาใจช่วยเขาเสียอีก
สรุปก็เหมือนเดิมอีก คือ คนไม่ดีหรือคนดี ถ้าเรามีจิตใจสงบมั่นคง เราก็ไม่ไปทำอันตรายเขา ดูแลชีวิตเรา ให้สะอาด อบอุ่นดีงาม เป็นพอ

หักหอกเป็นดอกไม้ ตอน.. อย่าเป็นควาย!

มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเคยประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด หรือสิ่งที่ไม่ชอบใจที่ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ก็มีความทุกข์จำนวนไม่น้อยที่เกิดจากความคิดของเราเอง
พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าชิคาโก ได้เมตตาชี้แนะการเอาทุกข์ออกจากใจด้วยการ “หักหอกเป็นดอกไม้” หมายถึง การไม่นำความผิดปกติภายนอกมาทำลายความปกติภายใน หรือความปกติของใจเรานั่นเอง
หลักในการหักหอกเป็นดอกไม้ก็คือ เอาความรู้สึกตัวใส่เข้าไปในความเคยชิน มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ แม้เมื่อเผลอไปก็ตามรู้ว่าเผลอไป เพราะเวลาที่คนเรามีปัญหา เรามักจะหลงคิดไปต่างๆ จึงเกิดทุกข์ เช่น เวลามีใครมาด่าเราว่า “ควาย” การด่าหรือคำด่าก็คือเสียง คือธาตุลมมากระทบกับธาตุดินคือหูของเรา แต่พอเราไม่มีสติ มีอวิชชา (ความไม่รู้) อยู่ภายใน เราก็เผลอไปปรุงเสียงนั้นต่อ ธาตุไฟหรือความโกรธจึงเกิดขึ้นเพราะเราไปดึงอดีตมาขบเคี้ยว (คิด) ให้ตัวเองเป็นทุกข์ เหมือนมีคนเอาเข็มมาจิ้มเราแล้วก็หนีหายไป เราดึงเข็มออกมาแล้วก็ร้อง อุ๊ย เจ็บ เจ็บ แต่พอสักพักเราก็จิ้มตัวเองใหม่แล้วก็ร้อง เจ็บ เจ็บ แล้วก็จิ้มใหม่เจ็บใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนส่วนใหญ่มักเคยชินในการเอาเข็มความคิดที่เจ็บปวดมาจิ้มตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
สิ่งที่เขาด่าเราจบกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่เราไม่ยอมจบ กลับคิดวนเวียนถึงสิ่งที่เขาว่าเรา เหมือนเราด่าตัวเองเป็นร้อยพันครั้ง โคลนนิงคำว่า “ควาย” เป็นทวีคูณ พอเช้าวันต่อมาเราก็ลาก “ควายทั้งฝูง” ติดตัวออกจากบ้านไปด้วย พอเห็นหน้าคนที่มาว่าเรา เราก็โกรธ เอาเรื่องที่เขาว่าเราเมื่อวานมาโกรธต่อ อย่างนี้เปรียบเหมือนคนที่ชอบกินของบูดของเน่า ความโกรธยังเป็นอารมณ์ของผู้มีปัญญาทรามซึ่งพ่ายแพ้ต่อกิเลส หากคนอื่นพ่ายแพ้ต่อกิเลสมาว่าเราก่อน เราจะยอมพ่ายแพ้ตามเขาด้วยการโกรธหรือ?
ทำเช่นนี้ก็พ่ายซ้ำสอง พ่ายแล้วพ่ายอีก พ่ายยับเยิน!
วิธีการหักหอกเป็นดอกไม้ก็คือ “รู้เฉยๆ” ไม่ว่าที่เขาว่ามาจะจริงหรือไม่ แต่เราไม่ควรโกรธ เอาความรู้สึกตัวใส่เข้าไปในความเคยชิน อะไรเกิดก็รู้อย่างเดียว ไม่ต้องไปทำอะไรต่อ พระอาจารย์ กล่าวว่า “เมื่อจิตไหลให้รู้ดูที่จิต หลงครุ่นคิดก็ให้รู้ดูเอาไว้ เมื่อจิตเผลอก็ให้รู้ดูเข้าไป ผลสุดท้ายมีแต่รู้ ‘กู’ ไม่มี” คือ มีแต่ตัวรู้ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวน และดับไป แต่ “ตัวกู” ที่จะเข้าไปยึดให้เกิดทุกข์นั้นไม่มี จะเห็นได้จากพระอริยบุคคลทั้งหลาย ยิ่งบรรลุธรรมขั้นสูงยิ่งทุกข์น้อยลง จนกระทั่งเมื่อเป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีทุกข์เลย ไม่มีทุกข์นี้หมายความว่าไม่มีทุกข์ทางใจ แม้จะยังมีทุกข์ทางกาย เช่น ความปวดเมื่อยเหนื่อยหิว หรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ตาม
พระอาจารย์ให้หลักปฏิบัติไว้ว่า “คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ และคิดก่อนคิด” คิดก่อนคิด หมายถึง ยับยั้งการคิดที่จะสร้างวิบากกรรมหรือสร้างทุกข์แก่ตนเอง หากเราไปเจอคนที่เราเกลียดก็เพียงแต่รู้ว่าเจอ ไม่ต้องไปคิดต่อ ในทางกลับกันต้องขอบคุณเขาที่เป็นเสมือนอาจารย์ของเรา ทำให้เราได้เห็นอาการของจิตที่ชอบไปหาเรื่อง เพราะมีคนหรือสิ่งที่เราเกลียด เราจึงเห็นความสำคัญของการฝึกจิต บางคนเรียนจบสูง แต่ทางจิตใจยังเป็นเด็ก กระทบอะไรเล็กน้อยก็หวั่นไหว ใครแหย่ก็โกรธ เกลียด น้อยใจ เบื่อ เซ็ง ฟุ้งซ่าน ฯลฯ นานๆ เข้าไม่ต้องมีใครมาแหย่ก็ฟุ้งซ่านหวั่นไหวไปกับอารมณ์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง เป็นทุกข์ได้เก่ง เพราะไม่เข้าใจเรื่องการฝึกจิตนั่นเอง
การปฏิบัติธรรมคือการฝึกจิตให้มีความสุข มีความสบาย หากเผลอไปคิดเรื่องที่จะทำร้ายตัวเองก็ต้องรู้สึกตัวว่าเผลออยู่เรื่อยๆ หากเราต้องการความสุข ไม่ต้องไปคิดว่าเมื่อไหร่จะมีความสุข เพราะเราสามารถมีความสุขได้เดี๋ยวนี้ ที่นี่ ด้วยการคิดดี พูดดี ทำดี ผู้ที่ปฏิบัติภาวนาก็ขอให้ความสุขกับการภาวนา อย่าไปรอความสุขจากผลของการภาวนา เพราะเราไม่รู้ว่าผลจะเกิดเมื่อใด

ศีล ๕ พาพ้นภัย..หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

 ถ้าเราจะปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีล ๕ ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก คฤหัสถ์กินข้าวเย็น ไม่มีในคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ว่าตกนรก ถ้าหากละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งล่ะตกนรกทันที 

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักษาศีล ๕ โดยวิสัยของพระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระกรุณาคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีล ๕ ไปทำไม

ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรม เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี รักได้ทุกคน

เมื่อเรามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม

การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น
การไม่ลักขโมยเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น ก
าเมสุมิจฉาจาร มุสาวาทก็เคารพในสิทธิของผู้อื่น
สุราไม่มัวเมา เคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่นด้วย

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ไม่ต้องกังวล เป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบาย อยู่ป่าก็สบาย

คนมีศีลบริสุทธิ์นี่ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด หลวงตาสนอยู่เมืองอุบลเมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโตขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจ นึกถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะไปติดคุกอยู่ ๑๔ ปี พอออกจากตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า โอ๊ย เพิ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้ อยากจะบวช ไม่มีบริขารจะบวช ขอบริขารไปบวชหน่อย คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่

ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทางรถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อนๆ ไปฝังๆ เรียงกัน จนสัตว์ใหญ่ๆ เข้าไม่ได้ ใครเดินทางมาจะต้องรีบเร่งให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั่น มิฉะนั้นเสือมันเอาไปกินหมด

ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็ไปนอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กาง เดือนหงายๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง ท่านก็บอกว่า "เสือเอ๊ย! ... มากินมันเสีย บักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้ฆ่าคนมามากแล้ว มากินเสียให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย" เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์มันจะหมอบทำท่าขู่

แต่นี่มันมาแล้วมานั่งเฝ้าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยองๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ ท่านเดินเข้าไปหามัน จะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไป แทนที่มันจะกัดท่าน มันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่นๆ ตลกๆ ว่า "เออ! ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วนี่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอา ของทิ้งแล้ว"

เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัย ตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่มของบาปกรรม ทอนกำลังกิเลส