วันอังคาร, มกราคม 25

หนูผิดไหม ที่ไม่รักแม่ ? ว.วชิรเมธี ♥


ปุจฉา 

ถ้าหากแม่ไม่รักเรา และทิ้งเราไปมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่เด็ก พอเราโตขึ้น และพบว่า เราได้ดีมีสุขแล้ว แม่จึงกลับมา ถามว่า หากเราไม่รู้สึกรักแม่เลย แต่ก็ต้องทำหน้าที่ดูแลท่านไปอย่างนั้นเอง จะเป็นการกระทำที่สมควรไหม 

-------------------------------------

วิสัชนา

ใน พุทธศาสนานั้น ผู้รู้ท่านกล่าวว่า การเป็นแม่ ไม่ใช่พอให้กำเนิดแล้วก็เป็นกันได้เลยก็หาไม่ การเป็นแม่ต้องมี “พันธกิจ” ที่มากกว่านั้น กล่าวคือ ถ้าท่านเพียงแต่ให้กำเนิด ทว่าไม่รัก ไม่เลี้ยงดู ก็ถือว่า ยังไม่ได้เป็นแม่ตามความหมายที่แท้จริง เป็นได้เพียงแต่ “ผู้ให้กำเนิด” เท่านั้น ส่วนคนที่จะได้ชื่อว่าเป็นแม่นั้น ต้องทำ “หน้าที่” ของแม่ให้ได้เสียก่อน ต่อเมื่อทำหน้าที่ของแม่ได้ครบสมบูรณ์แล้ว เมื่อนั้นแหละ ความเป็นแม่ที่แท้จึงจะเกิดขึ้น


หน้าที่ที่จะทำให้ผู้ให้กำเนิด เปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นแม่นั้น ประกอบด้วย

(๑) สอนลูกให้อยู่ห่างจากความชั่ว

(๒) สอนลูกให้เป็นคนดี

(๓) ส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษา

(๔) ดูแลเลือกสรรผู้ที่จะมาเป็นคู่ครอง

(๕) เมื่อถึงเวลาอันสมควร ก็มอบมรดกให้

เมื่อลูกได้รับการดูแล เลี้ยงดู เป็นอย่างดี จากแม่อย่างนี้แล้ว

ลูกเองก็ต้องตอบแทนพระคุณแม่ด้วยการทำหน้าที่ของลูกด้วยเช่นกัน


(๑) ท่านเลี้ยงมาแล้ว ต้องเลี้ยงท่านตอบ

(๒) ต้องช่วยทำกิจการงานของท่าน

(๓) ธำรงรักษาชื่อเสียงของตระกูลวงศ์

(๔) ประพฤติตนให้สมควรแก่การรับมรดก

(๕) เมื่อท่านล่วงไปแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้




จะเห็นว่า การเป็นแม่คนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การเป็นลูกที่ดีของแม่ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะการเป็นทั้งแม่และลูก เป็นเรื่องที่ต้องใช้หลักธรรมกันพอสมควรเช่นนี้เอง ทุกวันนี้ เราจึงได้เห็นแม่และลูกที่ขาดคุณสมบัติกันมากมายเดินอยู่ในสังคมทั่วไปหมด


ใน กรณีของคุณนั้น ถ้าแม่ทิ้งคุณไปตั้งแต่เด็ก เป็นเหตุให้คุณไม่ได้โตมากับท่าน และท่านก็ไม่ได้เลี้ยงดูคุณ คุณจึงไม่รัก ไม่รู้สึกว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณ ขอให้คุณถือเสียว่า ความบกพร่องที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความบกพร่องของผู้เป็นแม่ฝ่ายเดียว และถึงอย่างไร มันก็ได้จบลงไปแล้ว แม่บกพร่อง นับเป็นรอยแผลเป็นในชีวิตของแม่ ปล่อยให้รอยแผลเป็นนั้น เกิดกับแม่คนเดียวก็พอแล้ว เราไม่ควรจะไปสร้างรอยแผลใหม่ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราซ้ำรอยแม่ ด้วยการ “เอาคืน” จากแม่ ด้วยการทิ้งหรือไม่ให้ความสำคัญกับท่านเช่นที่ท่านทำกับเรา

เราไม่ควรจะล้างโคลนด้วยน้ำครำ ไม่ควรจะล้างไฟด้วยไฟที่ร้อนแรงกว่า


มนุษย์ ทั่วไปนั้น มักติดอยู่ในวังวนของความคับแค้น เมื่อตนถูกคนอื่นกระทำ ก็ผูกใจเจ็บอยู่ว่า วันหนึ่งตนจะเป็นฝ่ายได้กระทำคืนบ้าง และก็เฝ้ารอโอกาสเช่นนั้น เมื่อสบโอกาสเข้า จึงพยายามจะแก้แค้น และด้วยวิธีคิดเช่นนี้ จึงไม่สามารถยกตนให้ลอยพ้นจากความคับแค้นและวัฏจักรของกฎแห่งกรรมไปได้ ส่วนผู้มีการศึกษาธรรมะมาเป็นอย่างดีแล้วนั้น จะปฏิบัติตรงกันข้ามทีเดียว เขาจะมองเห็นว่า เมื่อใครก็ตาม ทำร้ายเรา นั่นก็เพราะเขายังไม่รู้ และหากเรารู้แล้ว เราก็ควรลอยตัวให้อยู่เหนือความคับแค้น มองดูผู้ที่ทำร้ายเรานั้นเป็นดั่งสัตวโลก ผู้ยังจมอยู่ในทะเลแห่งความเขลา คอยแต่จะหาวิธีเปิดดวงตาให้เขาได้เห็นแสงแห่งธรรม และเปลี่ยนความคับแค้นนั้นเป็นความเมตตา มีแต่การยกตนให้สูงเหนือความอาฆาตพยาบาทนี้เท่านั้น วัฏจักรแห่งความแค้นและกฎแห่งกรรมจึงจะสิ้นสุดลง


แม่ ของเรานั้น แม้ไม่ได้เลี้ยงเรามา แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ให้ชีวิตเรามา จริงอยู่คุณอาจไม่รักท่านในฐานะที่ท่านเป็นแม่ แต่คุณก็ควรรักท่าน หรือดีต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นผู้ให้ชีวิตดีกว่า

บรรดาสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดในชีวิตของเรานั้น ไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่า “ชีวิต” คือ ร่างกายและลมหายใจนี้เป็นไม่มีอีกแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งเขาให้สิ่งนี้แก่คุณมา ทำให้คุณได้อัตภาพมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งนับเป็นสัตว์โลกผู้มีวิวัฒนาการสูง ที่สุดแล้ว 


ชีวิตก็ดี ความเป็นมนุษย์ก็ดี ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เลย แต่คุณก็ได้สองสิ่งนี้มาแล้ว

ผู้หญิงซึ่งคุณสมมุติเรียกว่าแม่ (ที่คุณไม่รัก) นั่นเอง เขาให้สิ่งนี้แก่คุณมา

ในฐานะของแม่เขาอาจบกพร่อง แต่ในฐานะของผู้ให้ชีวิต

และความเป็นมนุษย์ เขาอาจทำได้สมบูรณ์ทีเดียว

เหตุผล เพียงแค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว ที่คุณจะหันกลับไปมองแม่ของคุณด้วยวิธีคิดใหม่ และด้วยการปฏิสัมพันธ์ที่เปี่ยมด้วยความกตัญญูรู้คุณ และโปรดอย่าลืมว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าคุณก็อาจจะต้องเป็นแม่คนด้วยเหมือนกัน หากคุณไม่ฝึกเป็นลูกผู้มีใจสูงเสียแต่ในตอนนี้ ครั้นถึงเวลาที่คุณเป็นแม่ขึ้นมาบ้าง ถึงวันนั้น คุณอาจจะรู้ว่า การเป็นแม่ ไม่ง่ายเลย, ไม่ง่ายเลยจริงๆ 

พร 4 ข้อ ว.วชิรเมธี

1. อย่าเป็นนักจับผิด คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง 'กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก' 
คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส 'จิตประภัสสร' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี'แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข' 
2. อย่ามัวแต่คิดริษยา 'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน' 
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา 
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น 'ไฟสุมขอน' (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป 
3. อย่าเสียเวลากับความหลัง 
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น' 
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ 'อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน' 
'อยู่กับปัจจุบันให้เป็น' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี 'สติ' กำกับตลอดเวลา 
4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ 
'ตัณหา' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม' 
ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู 
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์ 
เราต้องถามตัวเองว่า 'เิกิดมาทำไม' 'คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน 'ตามหา 'แก่น' ของชีวิตให้เจอ 
' คำว่า 'พอดี' คือ ถ้า 'พอ' แล้วจะ 'ดี' รู้จัก 'พอ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข'

ภูเขาแห่งความโกรธ (ว.วชิรเมธี)

ครั้งหนึ่งช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อสหรัฐอเมริกาโกรธทหารญี่ปุ่นที่เอาเครื่องบินมาทำกามิกาเซ่ เครื่องบินเรือรบของอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ ความโกรธของอเมริกาครั้งนั้นทำให้อเมริกาเอาระเบิดนิวเคลียร์ไปถล่มเมืองนางาซากิ เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น คนตายทันทีทั้งสองแห่งกว่า ๔ แสนคน ฮิตเลอร์โกรธชาวยิว ฆ่าชาวยิวไปในสงครามโลกครั้งที่ ๒ กว่า ๖ ล้านคน พระเจ้าวิฑูทภะในประเทศอินเดีย โกรธที่ชาวศากยะซึ่งเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้ามาดูถูกพระองค์ ทรงกรีธาทัพไปฆ่าชาวศากยะล้างโคตร จนตระกูลศากยะของพระพุทธเจ้าสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ นี่คืออานุภาพการทำลายล้างของความโกรธ 

เมื่อความโกรธเกิดขึ้นในใจของคนคนหนึ่ง ทุกสิ่งสามารถถูกนำไปเป็นอาวุธทำลายล้างกันได้ทั้งหมดเลย ยกตัวอย่างใกล้ตัวที่สุด หัวของเรานั้น ปกติก็เป็นที่อยู่ของมันสมอง สติปัญญา แต่เวลาเราโกรธกันขึ้นมา เราใช้หัวโขกหัวคนที่เราโกรธจนหัวแตกก็ได้ ตาของเราซึ่งเวลาเรารักกันนั้น เราสบตากันแล้วรู้สึกดีมาก เพราะว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ แต่เวลาโกรธ คนสองคนโกรธกันอาจจะใช้ดวงตาเผาไหม้อีกฝ่ายได้อย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด  


ฟันของเราปกติใช้บดเคี้ยวอาหาร ทำให้เราได้กินของอร่อยๆ พอเราโกรธกันขึ้นมา เราอาจจะกัดคนที่เราโกรธหูขาด คอขาด แขนขาด เลือดไหลทะลักออกมาก็ได้ทั้งนั้น 

สำหรับสามีภรรยาที่เคยรักกัน เวลารักกันเราก็จะตระกองกอดกันอย่างมีความสุข สองมือนี้อาจจะคอยประคองสองแก้มของคนที่เรารัก แต่เชื่อไหมว่า สองมือที่เคยตระกองกอดเราก็ดี เคยประคองสองแก้มของเราด้วยความชื่นชมก็ดี มือเดียวกันนี่แหละ ที่ถ้าโกรธแล้วสามารถตบเราให้หน้าคว่ำหน้าหงายได้ 

สำหรับพ่อแม่ลูกที่อยู่ด้วยกันในบ้าน ตอนที่ยังดีๆ กันอยู่ เคยไปเลือกซื้อข้าวของเครื่องประดับมาไว้ในบ้าน จัดมุมโน้น จัดมุมนี้อย่างสวยงาม ด้วยความสมัครสมานสามัคคี แต่เชื่อไหมว่าเวลาทะเลาะกัน ข้าวของที่เราเคยช่วยกันซื้อระหว่างพ่อแม่ลูก สามีภรรยานั่นแหละ เวลาโกรธกันขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างก็หยิบขึ้นมาขว้างปากันจนหัวร้างข้างแตก เครื่องประดับกลายเป็นอาวุธทำร้ายคนที่เรารักไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ 

สำหรับคู่สามีภรรยาที่นอนเตียงเดียวกัน เวลาโกรธกันขึ้นมา โคมไฟบนหัวเตียงอาจจะกลายเป็นกระบองชั้นดีทุบอีกฝ่ายหนึ่งจนเลือดอาบก็ได้ 

สำหรับช้อน ส้อม ซึ่งเราใช้กินอาหารอยู่ทุกวัน เวลาทะเลาะกันในวงข้าว อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะหยิบมันมาเสียบคอของคู่ต่อสู้ หรือปักไปในดวงตาของคนที่ทำให้เราโกรธทันทีทันใดก็ได้ 

สำหรับพระที่ขาดสติ หากทะเลาะกันขึ้นมา บาตรที่เคยใช้ใส่ข้าวอยู่ทุกเช้า อาจจะกลายเป็นอาวุธที่ทุบหัวของอีกฝ่ายหนึ่งให้กะโหลกแตกกระจายก็ได้ 

ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้บ้านแตกก็ได้ ทำให้ครอบครัวแตกก็ได้ ทำให้สำนักงานแตกก็ได้ ทำให้เพื่อนแตกจากเพื่อนก็ได้ ทำให้ข้าวของแตกกระจายก็ได้ ทำให้พรรคแตกก็ได้ ทำให้ประเทศแตกก็ได้ และทำให้โลกนี้แตกก็ได้ เหนืออื่นใดก็คือ ทำให้ชีวิตของเราแตกดับก็ได้ 

ที่กล่าวมานี้ก็เป็นอันตรายของความโกรธแค่ย่อๆ เท่านั้นเอง อาตมาเชื่อว่าทุกคนต้องเคยโกรธมาแล้ว และรู้ดีว่าความโกรธทำให้เราเจ็บปวดแค่ไหน 

ถ้าความโกรธเกิดขึ้นจงอย่าวิ่งตามความโกรธ แล้วก็อย่าเก็บความโกรธใส่ไว้ในขวดโหลเหมือนเราดองผลไม้ไว้ในขวดโหล 
ดังนั้นเมื่อความโกรธเกิดขึ้นเราต้องจัดการมันก่อน เพราะถ้าทิ้งไว้เราจะถูกมันจัดการ