วันจันทร์, มกราคม 24

==> คนดี & คนโง่


คนดี กับ คนโง่ มากมายหลายครั้งที่ถูกมองเป็นคนประเภทเดียวกัน

โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพไหน
อย่างเช่นตอนนี้ ยังไม่เข้าใจว่า ตัวเองจัดอยู่ในประเภท คนดี หรือ คนโง่ 
คิด ๆ ดูแล้ว คนดีกับคนโง่ มีความหมายใกล้เคียงกัน 
แต่มันจะถูกตีความหมายในด้านใดเท่านั้น


คนดี เป็นคนดีในทุกๆ ด้าน แม้กระทั่งความรู้สึกที่เรียกว่า รัก 
ดีแม้กระทั่งยอมรับในทุกๆสิ่งที่คนรักเป็น 
ยอมมองข้ามข้อเสียไป นี่คือ นิสัยบางส่วนของคนดี


คนโง่ อาจเป็นได้ทั้งคนดี และคนเลว 
แต่ความโง่ จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งมาสะกิดใจ 
เพื่อบอกตัวเองว่า ตัวเองกำลังตกอยู่ในประเภท คนโง่


บางคน ยอมให้คนรักคิดว่าตนเองเป็นคนโง่ 
เพราะความเชื่อใจมากเกินไป มั่นใจในคนรักมากเกินไป 
แต่มันก็ไม่ผิดที่จะไว้ใจ หรือเชื่อใจในคนที่รักมากที่สุด 
ขึ้นอยู่กับคนที่เรารักมากกว่า ว่าเขาซื่อสัตย์กับความรักของเรามากแค่ไหน 
หากเขาไม่ซื่อสัตย์กับความรักที่เราให้ เอาความรักของเราไปเป็นเกมส์ 
เอาไปเป็นสิ่งทดแทนจากใครอีกคน

เมื่อนั้น คนดี จะกลายเป็น คนโ ง่ ทันที 
โง่ที่ไม่เคยรับรู้ว่า ความรู้สึก กำลังถูกทำลาย 
ด้วยฝีมือของคนที่เรา รัก มากที่สุด


ช่วงที่รู้ว่าตนเองเป็น คนดี หรือ คนโง่ 
มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 
ยอมเปิดตา และยอมฟังความคิดเห็นจากคนรอบๆ ข้าง 
และจะได้รู้ในทันทีว่า ความโง่ มันคงไม่ต่างอะไรกับ ความดี 


คนดี น่ายกย่อง น่านับถือ เพราะมีจิตใจที่งดงาม 
คนโง่ น่ายกย่อง น่านับถือ เพราะ ยอมให้คนรัก เรียกว่า " หน้าโง่ " 

ชึวิต....ยังมี....ทิศตะวันออก

          
          บ่อยครั้งที่ชีวิตผิดพลาด..ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับความผิดพลาดนั้น
ซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์...ให้เสียใจ และพยายามจะสร้างคำถามเพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เสมอ

          ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าคำตอบที่สร้างขึ้นมานั้น มัน "ไม่ใช่ความจริง" ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความเสียใจนั้นได้เลย
เราจึงยอมติดกับดักความเสียใจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และกลายเป็นทาสของมันอย่างรู้ตัว

          รู้ว่าเสียใจแต่ก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้
แต่ทำไมเรายังเป็นทุกข์กับการเลือกที่จะเสียใจ และทำชีวิตให้มันแย่ลงกว่าเดิมทุกวันๆ 

          ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ารสชาติของมันสุดแสนจะขมขื่นมากมายเพียงใด เพราะ "เราเริ่มต้นใหม่ไม่เป็น"
เราเลยยังทุกข์ระทมไปกับความผิดพลาดของชีวิต สิ้นสุดแล้วแต่ก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้...ไปไม่เป็น...เหมือนจะมองเห็นทาง
แต่ก็เลือกที่จะปิดหู ปิดตา และไม่พยายามจะเปิดใจ เราจึงต้องอยู่กับความเศร้าเสียใจอยู่ทุกคืนทุกวัน ตอกย้ำความผิดพลาดให้ตัวเองอยู่อย่างนั้น

          ลองมองดูวิถีดอกทานตะวันบ้างสิ ชีวิตมีแต่ความเบิกบาน เพราะรู้จักที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กับแสงตะวัน
แสงสว่างที่ส่องนำทางให้ชีวิตทุกชีวิต..."ยังคงมีชีวิต" แม้ยามที่ดอกทานตะวันร่วงโรย ก็ยังคงทิ้งเมล็ดพันธุ์ให้เจริญเติบโต งอกงามและรับแสงตะวันได้ใหม่อีกครั้ง 

          เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ปิดตัวเอง แล้วจมอยู่กับความคิดที่ว่าชีวิตต้องเริ่มต้นใหม่ไม่ได้
อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยให้ชีวิตมันไหลไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีคุณค่าและไร้จุดมุ่งหมาย

          จงใช้ชีวิตให้เป็นดั่งเช่นดอกทานตะวัน แม้ยามผิดพลาด เสียใจ ก็จะมีทางออกของชีวิตเสมอ อับจนหนทางอย่างไร
แสงสว่างจากดวงตะวันก็จะคอยส่องทางให้เราได้พบเจอทางออก 

          "ชีวิตเราจึงมีทางออก ตราบใดที่บนโลกใบนี้ยังมีทิศตะวันออก"

          แม้ว่าชีวิตจะยังมืดมน จะยังคงจมอยู่กับความผิดพลาด เศร้าใจ ก็จงเศร้าให้ถึงที่สุด เสียใจ ก็จงเสียใจเสียให้พอ
หากยังร้องไห้ ขอให้ระบายน้ำตาออกมา อย่ากักเก็บมันไว้ เมื่อเราเสียใจอย่างถึงที่สุดแล้ว เราต้องกล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง
และพร้อมที่จะเป็นคนใหม่ ที่ใช้บทเรียนจากอดีต เป็นเหมือนเข็มทิศคอยช่วยบอกทางแก่ชีวิต เพราะ... 

          "ความเศร้านั้นมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง ข้อเสียคือทำให้เราโศกาอาดูร แต่ข้อดีของมันคือ...สอนให้เรารู้ว่าเราจะไม่ผิดพลาดตรงนี้อีก
เราจะต้องไม่ร้องไห้ให้กับมันอีก"

          ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ตอนที่เสียใจกับความผิดพลาดของชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วเกิดเป็นคน
มีความรู้สึกรู้สาเหมือนกันหมด สามารถเศร้าเสียใจกับอดีตที่ผิดพลาดได้เหมือนกันหมด และก็เริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมดเช่นเดียวกัน 

          ขอเพียงกล้าที่จะเป็นนกปีกหักที่พร้อมจะรักษาตัวเอง และออกเดินทางได้โดยไม่กลัวว่าหนทางข้างหน้า
จะผิด พลาดซ้ำสอง อย่าลืมนะว่า…เรามีโอกาสผิดพลาดได้บ่อยครั้งเท่าไหร่ เราก็เดินถูกทางมากขึ้นเท่านั้น

น้ำแข็งก้อนใหญ่ กับ นาฬิกาทรายเรือนยักษ์

นานมาแล้ว โลกเป็นเพียงวัตถุทรงกลมเรียบ ๆ เปล่า ๆ
ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจาก
น้ำแข็งก้อนใหญ่กับนาฬิกาทรายเรือนยักษ์
ที่มีปลายเปิดสามารถปล่อยทรายออกได้อย่างเดียว........

น้ำแข็งกับนาฬิกาทรายเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก
ร่วมทุกข์ร่วมสุข จนทั้งคู่เติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว.....
ความงดงามของน้ำแข็ง ทำให้นาฬิกาทรายแอบชื่นชมหลงใหล
แต่ทุกครั้งที่พยายามแสดงความสนิทสนมใกล้ชิด
ความเย็นชาจากน้ำแข็งก็ทำให้นาฬิกาทรายต้องผิดหวังทุกทีไป

วันหนึ่งนาฬิกาทรายทะเลาะกับน้ำแข็งอย่างรุนแรงถึงขั้นแตกหัก
นาฬิกาทรายร้องไห้เสียใจหนีไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง


เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่านาฬิกาทรายกับน้ำแข็งก็ยังไม่คืนดีกัน
ต่างคนต่างอยู่คนละซีกโลก จนมาวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ทำให้โลกจะต้องแตกออกเป็นสองส่วน

น้ำแข็งรู้ดีว่าถ้าโลกแตกเป็นสองส่วนแล้ว
ก็คงไม่ได้เจอกับนาฬิกาทรายตลอดกาล
แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่....
น้ำแข็งจึงเลือกที่จะอยู่นิ่ง ๆ แทนที่จะออกตามหานาฬิกาทราย
ดวงจันทร์โคจรผ่านมา
น้ำแข็งจึงถามว่าอีกซีกโลกเป็นอย่างไรบ้าง

ดวงจันทร์บอกว่า นาฬิกาทรายกลับมาไม่ทันเพราะโลกกำลังจะแยก
จึงปล่อยทรายออกมาปกคลุมรอยแตกของโลก
เพื่อยึดไว้ไม่ให้แยกออกจากกัน
โดยหวังว่าจะได้กลับมาพบน้ำแข็งอีก
ทันทีที่รู้ น้ำแข็งก็รีบออกตามหานาฬิกาทราย.......


สายเกินไป ทรายกำลังจะหมดจากตัวนาฬิกาแล้ว
เมื่อน้ำแข็งมาถึงก็ได้ยินเพียงคำพูดสุดท้าย....
จากปากของนาฬิกาทราย
"ฉันรักเธอ"
ความเย็นชาที่มีในตัวน้ำแข็งหมดลงทันที....
น้ำแข็งจึงเริ่มละลาย....

ในขณะที่ทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงสู่พื้นดิน
กลายเป็นน้ำทะเลที่อ่อนโยน

คอยโอบอุ้มผืนทรายที่บริสุทธิ์
อยู่คู่กันมาจนทุกวันนี้

ส่องกล้องมองคำว่า"ทุกข์"